วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2559

เจาะ Stallion CT400 ระยะเผาขน

วันนี้มีโอกาสได้เข้าไปใกล้ชิด Stallion CT400 ในระยะเผาขน จอดโชว์อยู่ในร้านแห่งหนึ่ง ซึ่งผมไม่ขอเอ่ยนาม


          แว็บแรกที่ผมเห็น รู้สึกว่ามันเป็นรถที่ดูดีเลยทีเดียว จะว่าคล้ายๆ Yamaha SR400 มันก็ไม่เชิง เพราะด้วยองศาของรถที่แตกต่างกันนิดหน่อย แต่รวมๆแล้วการเล่นสีดำตัดโครมเป็นอะไรที่ลงตัวมาก จนผมต้องบอกตัวเองว่า "เฮ่ย นี่ใช่ CT400 แน่แหรอ"
          หลังจากนั้นก็เริ่มทัศนาทรวดทรงองค์เอว และเริ่มขุด จับ ทุกส่วน ซึ่งผมขอรีวิวแค่รูปร่างหน้าตา และวัสดุเท่านั้น เพราะเจ้านี่คือรถโชว์ไม่ใช่รถ Test ซึ่งผมขอไล่เรียงตามภาพไปนะครับ

ยางกันลื่นข้างถัง หนาดีครับ เนื้อดีพอใช้ได้ แต่การเก็บขอบยังไม่ดีนัก
ตัวเครื่องยนต์ ทั้งเสื้อสูบ แคร้ง ฝาครอบ รวมๆดูดีมาก งานเนียนใช้ได้เลย
มาดูความเรียบร้อยในส่วนของสายไฟตรงหัวฉีดและท่อไอดี ถือว่าทำได้ไม่ขี้เหร่
ป้าย CT400 จะโอเคกว่านี้ถ้าออกแบบ Font สักหน่อยให้เข้ามันความเป็น Classic
บั้นท้ายดูดีเลยเชียว
จุดที่มีเสียงล่ำลือมาตั้งแต่ CT150 เรื่องนึงคือคุณภาพของโซ่ขับเคลื่อน ส่องแล้วส่องอีกไม่ฟันธงอะไรทั้งสิ้น แต่ดูเหมือนโลหะจะคุณภาพไม่ดีนัก ใช้งานจริงเปลี่ยนซะน่าจะดี
จุดดับจี๊ดหัวใจใครหลายๆคน คือตรงนี้ครับ ตรงท่อที่แปะเพลท มอก. ที่ทำออกมาแบบเสียไม่ได้ 
ก้านไฟเลี้ยว ตามสายตาของผมพลาสติกตัวนี้ไม่รู้จะทนทานแค่ไหนหากโดนน้ำยาขัดสี น้ำมัน หรือแสงแดด เพราะดูเป็นพลาสติกเกรดต่ำเช่นกัน
มาดูที่เครื่องกันใกล้ๆ กาวยาแคร้งเครื่องเป็นสีเขียว อันนี้ไม่รู้ดีหรือไม่ดี แต่ดูใกล้ๆก็เห็นชัดเกิ๊น
ส่องให้ดูถึงการเก็บสายไฟใต้ถังน้ำมัน ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว
หน้าปัดสวยดูดีทั้งคู่ แต่ตัวกุญแจและเบ้ากุญแจ ดูยังกะของเล่น พลาสติกนี่ดูแย่มาก จุดนี้เวลาใช้งานจริงจะสังเกตุได้ชัดเจนที่สุด และน่าจะปรับปรุงมากที่สุด
ยางหุ้มโช๊ค จุดนี้ผมไม่แน่ใจว่ายางจริงไหม แต่เหมือนพลาสติกที่ทำฆ้อนเด็กเล่น



เซนเซอร์ Co2 วัดจากคอท่อไอเสียฝั่งซ้ายฝั่งเดียว เพราะไม่มีหม้อพักแบบรถในปัจจุบัน น่าสงสัยว่าวัดค่าได้ถูกต้องหรือไม่ จะมีปัญหากับ ECU ในการรับข้อมูลไปประมวลผลหรือไม่

ครื่องฝั่งซ้าย เรียบเนียน ผมว่าเนียนกว่า Royal Enfield อีกนะ

สรุป 
          ต้องบอกว่าเป็นรถที่สมราคาครับ ดูในระยะสบตากันนี่ดูดีทุกจุด นอกจากจะมาเพ่ง ชี้ทีละจุดถึงจะเห็นถึงเนื้องาน ที่บางจุดไม่เรียบร้อย แต่ก็ไม่ใช่จุดหลักๆของรถ สิ่งที่ควรทำให้ดีขึ้นคือกุญแจและเบ้ากุญแจ มันคงไม่เสียกำไรสักเท่าไหร่ นอกนั้นก็เช่น เนื้องานโช๊คด้านล่างไม่ค่อยเรียบ ยังมีรอยเจียรในตำแหน่งใกล้เพลา แต่ถ้าไม่ก้มดูก็ไม่เห็น โซ่ถ้าจัดของดีๆหน่อยก็จบครับ เอาเป็นว่าดูรูปร่างภายนอก เป็นรถที่น่าขี่มากๆ ในราคาแค่นี้ได้ระดับนี้ถือว่าคุ้มค่าแล้ว เหลือแต่เพียงต้องพิสูจน์ว่าในการใช้งานจริง มีปัญหามากน้อยแค่ไหน เพราะเราอย่าลืมว่ารถสวยอาจทำให้คนยอมจ่ายเพื่อซื้อมาครอบครอง แต่สุดท้ายถ้ารถมีปัญหา ไม่สามารถไว้ใจในสมรรถนะได้ มันจะเป็นเหตุผลให้ต้องขายทิ้ง แล้วคนก็จะเริ่มเรียนรู้ และชื่อเสียของรถรุ่นนั้นๆ








วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Triumph Street Twin ตัวใหม่มาแรงของตระกูล ฺBonneville 2016 เปิดราคา 399,000 บาท

น้องเล็กของในตระกูล New Bonneville 2016  รถแนวคลาสสิคของ Triumph



ด้วยเครื่องขนาด 900 cc ซึ่งตัวอื่นในตระกูลนี้ใช้เครื่อง 1,200 cc กันหมด แต่ก็แรงเพียงพอเพราะใน New Bonneville จะมีการเสริมด้วยระบบอิเล็กทรอนิคมากมายต่างจาก Bonneville เดิม ที่หยุดสายการผลิตไปแล้ว ด้วยการเน้นแรงบิดที่รอบต่ำ บวกกับคันเร่งไฟฟ้า เจ้า Street Twin จึงมีความแรงไม่ต่างจากรถสมัยใหม่ ด้วยแรงบิดสูงสุดที่ช่วง 3,000 รอบ

โดยที่ Street Twin 900 ได้เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยในงาน Motor Expo 2015 ในราคา 399,000 บาท

กราฟเปรียบเทียบแรงบิด เมื่อเทียบกับ Bonneville เครื่องบล๊อคเดิม
รายละเอียด
  • เครื่องยนต์  SOHC, 270 องศา ขนาด 900 cc 2 สูบเรียง 8 วาล์ว
  • แรงบิดสูงสุด 80 นิวตัน/เมตร ที่ 3,230 รอบ 
  • แรงม้าสูงสุด 54 แรงม้า ที่ 5,900 รอบ
  • จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด Multipoint sequential electronic fuel injection
  • 5 เกียร์ คลัชแบบเปียกหลายแผ่นซ้อนกัน
  • ล้อหน้าอลูมิเนียมอัลลอย 18 นิ้ว ยาง 100/90 R18
  • ล้อหลังอลูมิเนียมอัลลอย 17 นิ้ว ยาง 150/70 R17
  • เบาะสูง 75 ซม.
  • ถังน้ำมันจุ 12 ลิตร
  • น้ำหนักรถเปล่าไม่รวมน้ำมัน 198 กิโลกรัม
  • อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย ความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 1 ถังวิ่งได้ระยะทาง 140 กิโลเมตร / ความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 1 ถังวิ่งได้ระยะทาง 100 กิโลเมตร
  • มาตรฐาน Euro4  ปล่อยไอเสีย CO2  เพียง 87.0  กรัมต่อกิโลเมตร
  • หน้าจอแสดงผมเดี่ยว ไม่มีวัดรอบ เป็นอนาล็อกและดิจิตอล LCD Multi-functional


ข้อมูล : 
http://blog.motorcycle.com/2015/12/08/manufacturers/triumph/2016-triumph-street-twin-specs-and-us-pricing-announced/

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เจาะ Royal Enfield Continental GT

Royal Enfield Continental GT


รถคลาสสิคตัวธงของค่าย Royal Enfield แห่งชมพูทวีป(อินเดีย) 
เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่งาน Motor Expo 2015 (1-13 ธ.ค. 2015)
ด้วยราคา 239,900 บาท และศูนย์บริการแห่งเดียวที่ซอยทองหล่อ 55 (ศูนย์ DUCATI ทองหล่อเดิม)


รายละเอียด
  • เครื่องยนต์ขนาด 535 cc 4 จังหวะ สูบเดี่ยว ระบายความร้อนด้วยอากาศ 
  • 2 วาล์ว(ไอดี 1 ไอเสีย 1) ระบบวาล์วก้านกระทุ้ง
  • แรงบิดสูงสุด 44 นิวตัน:เมตร ที่ 4,000 รอบ
  • แรงม้าสูงสุด 29.1 แรงม้า ที่ 5,100 รอบ
  • จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดของ Keihin
  • เกียร์ 5 สปีด , คลัชแบบเปียกหลายแผ่นซ้อนกัน
  • ระบบสตาร์ทไฟฟ้าและคันสตาร์ทเท้า
  • ระบบดิสเบรคหน้า/หลังของ Brembo เบรคหน้า 2 พอร์ดกับจานดิส 300 มม. แบรคหลัง 1 พอร์ตกับจานดิส 240 มม.
  • ระบบกันสะเทือน โช๊คคู่หน้า Telescopic ขนาด 41 มม. ระยะสวิง 110 มม. โช๊คแก๊สคู่หลังของ Paioli
  • ยางหน้าขนาด 100/90  18 นิ้ว ยางหลังขนาด 130/70  18 นิ้ว
  • ความสูงเบาะ 80 ซม.
  • ถังน้ำมันจุ 13.50 ลิตร
  • น้ำหนักรถรวมเมื่อเติมน้ำมันพร้อมขี่ 184 กก.
  • ความเร็วสูงสุด 145 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
  • อัตราสิ้นเปลืองเมื่อขี่ในเมือง 20 กิโลเมตร/ลิตร นอกเมือง 30 กิโลเมตร/ลิตร
  • หน้าปัดแสดงผล แบบอนาล็อก 2 ข้าง วัดรอบและวัดความเร็ว แสดงผมน้ำมันแบบดิจิตอล และจับ Trip แบบดิจิตอล

ภาพแสดงระบบวาล์วแบบก้านกระทุ้ง ที่ออกแบบมาแบบโบราณ ต่างจากรถสมัยใหม่ที่ใช้โซ่ราวริ้น ทำให้รถยี่ห้อนี้คลาสสิคทั้งหน้าตายันเครื่อง  ฉนั้นการขับขี่จะทำได้ในรอบที่ต่ำเท่านั้น

แหล่งข้อมูล :


วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ถึงคราวเจ้าตาเหล่ BMW S1000RR โดน Biker ไทยฟ้องร้อง

เนื่องจากเครื่องยนต์มีเสียงผิดปกติ เข้าศูนย์แก้เกือบปีไม่หายและศูนย์ BMW Thailand ไม่รับผิดชอบ 
(คลิ๊ปเสียง https://www.youtube.com/watch?v=o7EYKliL71g&feature=youtu.be)




(เนื้อหาจาก pantip.com)
สวัสดีครับ ผมมีปัญหาเรื่องรถ bmw s1000rr 2015 ครับ
ผมขอเล่าความอึดใจเพื่อระบายให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ฟังแล้วกันครับ ใครอ่านได้ก็อ่าน และขอแนวทางชี้แนะด้วยครับ ส่วนใครที่คิดว่าเป็นเรื่องรกสมองก็ไม่ว่ากันครับ ผมเยลงคลิปเสียงรถผมที่ดังผิดปกติให้ในกลุ่มนี้ฟังแล้ว ผมก็ดำเนินการแก้ไขกับศูนย์เยอรมันออโต้ แต่แก้ให้ผมไม่ได้ ผมเลยอยากจะเล่าเรื่องของผมให้ฟังครับ
เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมกำลังจะตัดสินใจซื้อบิ๊กไบค์สักคันในชีวิตนี้เพื่อให้รางวัลกับตัวเองที่ต้องทำงานหนัก ผมศึกษาข้อมูลในหลายๆยี่ห้อจนมาพบกับยี่ห้อ BMW ในรุ่น s1000rr 2015 ด้วยการออกแบบที่โฉบเฉี่ยว สวย สมรรถนะดี ระบบไฟฟ้า และเทคโนโลยีต่างๆที่อยู่ในรถคันนี้ ทำให้ผมถูกชะตาและได้ตัดสินใจซื้อรถคันนี้มาด้วยเงินสดที่ผมใช้เวลาเก็บมาเป็นสิบปี ผมอยู่จังหวัดเพชรบุรีครับ ซื้อรถที่ศูนย์เยอรมันออโต้สาขาบางนาครับ ซื้อรถวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2558 ในวันรับรถ ผมไปขับกลับมาเองเลยครับ ผมก็ใช้รถปกติ มีขับไปหาเพื่อนบ้าง เข้ากลุ่มเพื่อนๆบ้างตามประสา ไม่เคยขับไปไหนไกลเลย ด้วยที่ว่ามีงานต้องทำ และอาศัยขับกินลมตอนเลิกงาน หลังจากที่ได้ขี่มันเรื่อยๆผมก็ได้สังเกตุพบว่าเสียงเครื่องมันมีเสียงดังผิดปกติครับ คือมันดัง "แก็กๆ แก็กๆ” เบาๆ ผมก็ฟังเรื่อยๆ สงสัยอยู่ว่ามันผิดปกติมั้ย แต่มันดังเบาๆ ผมเลยสบายใจอยู่คิดว่ามันคงจะดังปกติของมันแบบนี้ หลังจากนั้นก็ขี่เรื่อยๆ เริ่มจะดังลามขึ้นตอนที่ขี่แล้วผ่อนคันเร่งลงมามันจะได้ยิน “แตร็กๆๆๆๆ” พอรอบลงมาเดินเบา เสียงนั้นก็จะผ่านหายไป ผมก็แปลกใจอยู่ว่ามันดังได้ยังไง หลังจากนั้นผมก็เริ่มจับสังเกตุ อย่างจริงจัง ผมสังเกตุได้ว่า

1.ช่วงที่ผมเร่งเครื่องขึ้นไปมันจะมีช่วงหนึ่งที่ดัง “แตร็กๆๆๆๆ” พอผ่านช่วงนี้ไปเสียงนี้ก็หายไป

2.หลังจากข้อที่1 ผมผ่อนคันเร่งรอบเครื่องก็จะลดลงจนผ่านช่วงจังหวะหนึ่งก็จะได้ยินเสียงดัง “แตร็กๆๆๆๆ” พอผ่านช่วงนี้เสียงนั้นก็หายไป

3.ทุกๆวันที่ผมขับเมื่อเร่งเครื่องและผ่อนคันเร่งเมื่อรอบเครื่องยนต์ผ่านจุดๆนี้ (รอบเครื่อง 3600-4000 รอบต่อนาที) ผมก็จะได้ยินเสียง “แตร็กๆๆๆๆ” นี้ตลอด

4.ผมพยายามคิดว่ามันปกติไม่มีปัญหาอะไร แต่เสียงนั้นกลับดังขึ้นเรื่อยๆ ดังมากขึ้นทุกวัน จนผมคิดว่าเครื่องยนต์มีปัญหาแน่ๆ

5.หลังจากนั้นผมจึงตัดสินใจนำรถเข้าตรวจเช็คที่ศูนย์บริการใกล้ที่สุดคือ MF Motorad พระรามสอง อยู่ตรงมหาชัย ผมไปจอดให้ช่างฟังเขาบอกว่าปกติ(เนื่องจากเขาฟังแยกไม่ค่อยออก) ผมจึงบอกว่างั้นให้ลองขับดูแล้วขับที่รอบ 3600-4000 ดู ช่างก็ทำการทดสอบและผลที่ได้คือ มันดังจริงๆ ช่างบอกว่า “อืม มันดังมากครับ ถ้าเป็นรถเขาเองเขาก็ไม่แฮปปี้เหมือนกัน”

6.ผมโล่งใจแล้วว่าผมไม่ได้รู้สึกไปเอง หลังจากนั้นช่างก็รับรถผมไว้ตรวจสอบ ให้ BMW ไทยแลนด์เข้ามาตรวจสอบ ผมทิ้งไว้ให้ตรวจสอบในวันที่ 18 มิถุนายน 2558 

7.ช่างทำการรื้อฝาสูบเช็คนู่นนี่นั่น ผ่านไป 1 อาทิตย์ บอกผมว่ารถประกอบเสร็จแล้วมารับได้ครับ(ผมนี่ดีใจสุดๆ) แล้วบอกผมว่าเสียงไม่หายน่ะครับ ทางBMW ไทยแลนด์บอกว่าเสียงดังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ให้นำรถกลับไปใช้ก่อน เดี๋ยวถ้ายังไงเนี่ยะรถยังอยู่ในประกัน สามารถเข้ามาเครมได้อีกครับ (จากที่กำลังดีใจสุดๆ กลายเป็นเซ็งสุดๆเลยครับ หนทางมืดมนต์ไม่รู้จะทำไงดี คงต้องนำรถกลับไปใช้ก่อนอย่างเขาว่านั่นแหละ และก็พยายามยอมรับเสียงดังที่เกิดขึ้นให้ได้)

8.หลังจากนั้นเสียงก็ดังแรงกว่าเดิมเรื่อยๆ นึกขึ้นได้ว่าเราซื้อรถมาจากศูนย์ เยอรมันออโต้ จึงได้ติดต่อเข้าเซอร์วิสที่เยอรมันออโต้เลย ผมนำเข้าไปเซอร์วิสที่เยอรมันออโต้แจ้งวัฒนะ ในวันที่
29 มิถุนายน 2558 ได้ให้ช่างตรวจสอบเร่งเครื่องดูในขณะที่รถจอดอยู่ (ตอนนี้ชัดเจนเลยครับ เมื่อรอบเครื่องยนต์ 3700-4000) เสียงดังสะท้าน “แตร็กๆๆๆๆ” ตอนนี้ดังมากๆๆ ครับ จึงทิ้งรถไว้ให้ตรวจเช็คเลย

9.ช่างศูนย์ไม่มีการแจ้งผลน่ะครับ เราต้องกระตือรือร้นถามเขาเองน่ะครับ “รถผมเป็นไงบ้างครับ” ช่างบอกว่า เบื้องต้นเนี่ยะวาวไอเสียห่างครับ ตอนนี้กำลังเช็คอย่างอื่นด้วยครับ(คิดในใจ ทำไมตอนเข้าศูนย์ที่พระรามสอง ให้ BMW ไทยแลนด์เข้ามาตรวจเช็คด้วย ทำไมไม่รู้ว่าวาวไอเสียห่างว่ะ(ขอโทษน่ะครับที่ใช้คำหยาบ แค่คิดอยู่ในใจไม่ได้พูดออกมา))

10.วันที่ 4 กรกฎาคม 2558 เช่นเคยครับ ติดตามสอบถามงานซ่อมเอาเอง ศูนย์ไม่มีการโทรมาบอก ผมก็ถามเหมือนเดิมว่า
ผม: รถผมเป็นไงบ้างครับ?
ศูนย์: กำลังตั้งวาวแล้วประกอบครับ
ผม: ครับ แล้วอย่างอื่นไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ยครับ?
ศูนย์: ไม่เจอครับพี่ (ตอนนี้ดีใจมากๆครับ รถเรากำลังจะหาย ให้เวลาเขาประกอบหน่อย)

11.วันที่ 6 กรกฎาคม 2558 เช่นเคยครับ ติดตามสอบถามงานซ่อมเอาเอง ศูนย์ไม่มีการโทรมาบอก ผมก็ถามว่า
ผม: รถผมประกอบเสร็จยังครับ?
ศูนย์: ยังครับพี่
ผม: แล้วรถผมเสร็จวันไหนครับ ติดขัดอะไรหรือเปล่าคับ
ศูนย์: รอประเก็นครับ
ผม: ครับ

12.วันที่ 10 กรกฎาคม 2558 เช่นเคยครับ ติดตามสอบถามงานซ่อมเอาเอง ศูนย์ไม่มีการโทรมาบอก หลังจากที่ปล่อยระยะเวลาให้รอปะเก็น ผมก็ถามว่า
ผม: รถผมเป็นไงบ้างครับ
ศูนย์: ประกอบแล้วครับเพิ่งเสร็จเมื่อตอนเย็นนี้แหละครับ พรุ่งนี้ติดเครื่องครับ
ผม: ครับ พรุ่งนี้แจ้งผมด้วยน่ะครับ (คิดในใจ ยังไงมันก็ไม่แจ้ง)
ศูนย์: ได้ครับพี่

13.วันที่ 11 กรกฎาคม 2558 เช่นเคยครับ ติดตามสอบถามงานซ่อมเอาเอง ศูนย์ไม่มีการโทรมาบอก หลังจากที่ปล่อยระยะเวลาให้ติดเครื่องดู ผมก็ถามว่า
ผม: รถผมหายมั้ยครับ
ศูนย์: ยังครับพี่ (อือหือ หลังจากที่ตั้งความหวังเอาไว้ กลับพังทะลาย)
ศูนย์: คงต้องเปลี่ยนชิมวาว อีกสองตัวครับ(แสดงว่าคุณเปลี่ยนชิมวาวไปแล้วสองตัวแต่ไม่มีการแจ้งให้ทราบ) พอดีว่าชิมวาวสั่งมาอีก แต่พี่สามารถเอารถไปใช้ก่อนได้ครับ
ผม: พรุ่งนี้ผมเข้าไปเอารถครับ(อารมณ์เราอยากขี่ครับ)

14.วันที่ 21 กรกฎาคม 2558 มีการติดต่อกลับจากทางศูนย์
ศูนย์: พี่ว่างวันไหนเอารถเข้ามาได้เลยครับ
ผม: ครับ ตอนนี้มันดังมากเลยครับ
ศนย์: เช้าๆเลยน่ะครับ

15.วันที่ 24 กรกฎาคม 2558 ผมนำรถเข้าศูนย์อีกครั้งเพื่อเปลี่ยนชิมวาวอีกสองตัวตามใบสั่งของศูนย์เลย และแน่นอนวันเดียวไม่เสร็จต้องทิ้งรถไว้
16.วันที่ 29 กรกฎาคม 2558 มีพนักงานโทรมาแจ้งว่า ตอนนี้ช่างตรวจพบชิ้นส่วนที่ผิดปกติ แต่ต้องรอเครม คิดว่าชิ้นนี้แน่นอนครับ(ผมไม่ได้ถามว่ามันคืออะไร หลังจากนั้นผมก็รอๆๆ)

17.วันที่ 13 สิงหาคม 2558 มีพนักงานโทรมาบอกว่า ได้สั่งอะไหล่ชิ้นนั้นไปแล้วต้องรออีก 45 วันครับ (รอต่อเนื่อง ยาวไปๆๆๆๆๆ)

18.วันที่ 19 กันยายน 2558 ศูนย์แจ้งให้ไปรับรถ
ศูนย์: รถประกอบเสร็จแล้วครับ
ผม: ครับ หายมั้ยครับ (ถามด้วยความดีใจและตื่นเต้น)
ศูนย์: ยังมีเสียงอยู่ครับ(แป่ว) ทาง BMW ตรวจสอบคือไม่มีอุปกรณ์เสียหายครับ หลายคันเป็นเหมือนกันกับของพี่เลยครับเรื่องเสียง(คิดในใจ แก้ไม่หายทำไมไม่เปลี่ยนคันให้ผมใหม่ และก็หลายๆคันที่เป็นเหมือนผมด้วย)
ผม: ผมก็ถามในกลุ่ม หลายคันไม่เป็นเหมือนของผมนิครับ
ศูนย์: มันดังไม่เท่ากัน
ผม: พรุ่งนี้ผมไปรับรถครับ

19.วันที่ 20 กันยายน 2558 ผมไปรับรถที่ศูนย์ และลองฟังดู ปรากฎว่า ดังเหมือนเดิมทุกอย่าง แทบไม่อยากจะรับรถกลับมาเลย(แต่ก็ต้องรับกลับมาเพราะไม่รู้จะไว้ทำซากอะไรที่นั่น) ผมได้ให้เบอร์ผมไว้กับช่าง ให้หัวหน้าฝ่ายเครมโทรมาคุยกับผมที เพราะรถแก้ไม่หาย และผมก็ไม่กล้าขี่

20.วันที่ 21 กันยายน 2558 หัวหน้าฝ่ายเครมโทรมาบอกว่า กำลังรวบรวมข้อมูลให้ BMW ไทยแลนด์(เพื่ออะไรก็ไม่รู้มันน่ะครับ) ในระหว่างนี้ผมขอความไว้วางใจว่ารถยังขับได้น่ะครับไม่มีปัญหาขับไปเถอะครับ (ผมก็ทำตามเขาบอก ก็ขับไปทั้งๆที่เสียงดังน่าเกลียด จนทนไม่ไหวจึงต้องโทรไปแจ้งหัวหน้าฝ่ายเครมว่าผมขับไม่ได้ มันดังน่ากลัวเกินไป)

21.วันที่ 12 ตุลาคม 2558 หลังจากที่โทรไปคุยกับหัวหน้าช่างมา ทางศูนย์ก็แจ้งมาว่า
ศูนย์: เดี๋ยวผมไปรับรถที่บ้านพี่น่ะครับ
ผม: รับไปทำอะไรครับ
ศูนย์: ทาง BMW ไทยแลนด์(นึกในใจ ไอ้ BMW ไทยแลนด์ ไม่เคยเห็นตัวตนมันสักที) จะเข้ามาตรวจวิเคราะห์ ตรวจเช็ค ว่าจะต้องแก้ไขเรื่องเสียงให้หายครับ ส่วนรายละเอียดจะเปลี่ยนอะไรยังไงต้องรอดูอีกที(รออีกแล้วหรือนี่) ยังไงทาง BMW ก็รับผิดชอบอยู่แล้ว
ผม: เมื่อรอบล่าสุดได้แจ้งผมว่า ทาง BMW ไทยแลนด์(สงสัยจะมีแต่วิญญาณมั้ง BMW ไทยแลนด์ เพราะไม่เคยเห็นตัวตนมันสักที) เข้ามาตรวจสอบแล้วไม่พบชิ้นส่วนที่เสียหาย รถปกติดี แถมยังบอกให้เราขับไปเถอะ มันดังยังงี้แหละทุกคัน(ถ้าดังยังงี้ทุกคัน ทำไมไม่เห็นมีใครเขาเดือดร้อนเลยว่ะ) เอาอย่างนี้ครับ ผมขอเข้าไปร่วมตรวจสอบด้วยครับ
ศูนย์: ครับพี่ ทุกคนอยากให้มันหายครับ(ก่อนรถกูจะหาย ไม่ใช่พวกรื้อเละแล้วรึ (ขอโทษน่ะครับที่ใช้คำหยาบ))

22.วันที่ 14 ตุลาคม 2558 สรุปว่าผมขนรถไปให้เองเลยที่เดิมที่ๆไม่อยากจะเข้าไปอีกแล้ว (เยอรมันออโต้) ผมก็ได้บอกกับหัวหน้าฝ่ายเครมว่ารถผมขับไม่ได้จริงๆ ถ้าซ่อมรอบนี้ไม่หายละครับ(ประมาณว่าผมอยากให้เครมทั้งคัน เพราะว่าแกะมามากแล้ว ช้ำเกินไปแล้ว) หัวหน้าบอกว่า ต้องหายครับ ถ้าไม่หายก็ต้องเบาลง(ผมได้ฟังดังนั้นจึงได้สบาบใจขึ้น เพราะว่ารอบนี้ยังไงก็ต้องหาย เสียเวลามาเยอะแล้ว รอๆๆๆๆๆๆ รออีกสักหน่อยจะเป็นไรไป) 

23.วันที่ 11 พฤษจิกายน 2558 เช่นเคยครับ ติดตามสอบถามงานซ่อมเอาเอง ศูนย์ไม่มีการโทรมาบอกความคืบหน้า หลังจากที่ปล่อยระยะเวลาผ่านไปพอสมควร ผมก็ได้สอบถามไป
ผม: รถผมเป็นไงบ้างครับ?(เบื่อกับคำถามนี้ที่สุด)
ศูนย์: ภายในอาทิตย์นี้น่าจะทราบผลครับ เพราะ BMW ไทยแลนด์ มาเก็บรายละเอียดไปแล้ว(สภาพรถตอนนี้ก็น่าจะรื้อแยกชิ้นส่วนอยู่เพื่อรอคำตอบจาก BMW ไทยแลนด์)

24.วันที่ 13 พฤษจิกายน 2558 รอๆๆๆๆๆๆๆๆ รอจนในที่สุดทางศูนย์ก็โทรมาให้คำตอบที่เป็นข่าวดีที่สุดว่า
ศูนย์: คุณเล็กครับ(ผมชื่อเล็กครับ ลืมแนะนำตัวครับขอโทษทีครับ) ทาง BMW ไทยแลนด์ ได้ทำการตรวจสอบแล้ว ไม่พบชิ้นส่วนที่เสียหาย เสียงดังที่เกิดนั้นไม่ได้มีผมกระทบกับการใช้งาน ไม่มีผลต่อแรงม้าของรถ และเสียงก็ดังอย่างนี้ทุกคัน(คิดในใจ เมื่อ 5 เดือนที่แล้วBMW ไทยแลนด์ ก็บอกกับกูแบบนี้)
ผม: สรุปแก้ไม่หายใช่มั้ยครับ
ศูนย์: ใช่ครับมันดังปกติทุกคันดังแบบนี้หมดเลย แต่ของคุณเล็กดังกว่า ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ที่มันดังไม่เท่ากัน แต่ไม่มีผลกับแรงม้า แรงม้าไม่ตก(เอาล่ะสิกูมือใหม่ด้วย แรงม้าคืออะไรว่ะ?)
ผม: ใช่ครับแรงม้าไปตก แต่มันดังสะท้านมาในหูเวลาผมขับ
ศูนย์: นั่นเป็นปัญหาของคุณเล็กไม่ใช่ปัญหาที่รถ(เจ็บจี๊ดดดดดดดดด ขึ้นมาในใจ ไหนกูถามแล้วถ้าไม่หายจะทำไง บอกว่า ต้องหาย ถ้าไม่หายก็ต้องเบาลง นี่ไม่ได้ไปสะกิดโดนจุดที่มันจะทำให้เบาลงเลยแม้แต่นิดเดียว)
ผม: สรุปว่าจะคืนรถมาให้ผมแบบนี้ใช่มั้ย
ศูนย์: ใช่ครับ (แหม ก่อนตอบคิดบ้างก็ได้ นี่กูถามไม่ทันจบเลย)
ผม: งั้นผมไม่รับรถ(กูก็ไม่คิดเหมือนกัน บอกได้เลย) และผมก็ต้องขอฟ้องเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมต่อไป
#‪#‎ท่านใดที่ทนอ่านจนจบขอขอบคุณครับ‬ ส่วนท่านที่มีขอเสนอแนะ และแนวทางแก้ไข ขอความกรุณาช่วยบอกหนทางสว่างกับผมทีครับ
นี่คือรถผมที่มีปัญหาครับกดเข้าไปตามลิ้งค์นี้เลยครับ


วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

6 สิ่งหลักที่ต้องทำ ก่อนที่จะเป็นภาระของเพื่อนร่วมทาง


1. อยู่ให้ถูกที่ถูกเวลา
บางทีการขับขี่มอไซค์ก็ไม่ได้สักแต่บิดๆออกไป ต้องอยู่ถูกที่บนถนน ตามกฎหมายก็คือ "ชิดขอบทางด้านซ้าย" แต่ถึงจะไม่ชิดก็ควรพึงสำนึกไว้เหมือนกันว่าเราควรอยู่ตรงไหน ใช้ความเร็วเท่าไหร่ อยู่ในที่อับสายตาของรถยนต์ไหม อันนี้พูดยากหากท่านไม่เคยขับรถยนต์ รถยนต์นั้นมีมุมอับสายตาเยอะพอสมควร กระจกมองข้างก็จะฉายภาพให้เห็นแค่ล้อหลังออกไป ข้างรถมองไม่เห็น ฉนั้นเหล่าสิงค์มอไซค์ก็จะโดนสอยอยู่บ่อยๆในมุมนี้

2. ใช้ความเร็วให้เหมาะสม
ความเร็วที่เหมาะสมนั้นเป็นสิ่งสำคัญ หากใช้ทางร่วมกับรถยนต์ ต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าหากถนนเส้นนั้นๆมีหลายช่องทาง(เลน)ในช่องทางขวารถยนต์ใช้ความเร็วที่สูง และยิ่งในต่างจังหวัดมีทางกลับรถอยู่ด้านขวา แทบเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะไปอย่างช้าๆสบายๆ ต้องบิดกันตาเหลือกเพื่อหนีรถยนต์ ซึ่งรถยนต์เองหลายครั้งก็ประมาทในการใช้ความเร็ว รถยนต์เองมีระยะเบรคที่ยาวและยิ่งในรถกระบะระยะเบรคจะยาวมากกว่ารถเก๋ง

3. ใช้กระจกให้เป็น
หลายครั้งที่การขี่มอไซค์ ขี่ด้วยคนที่ใช้กระจกไม่เป็น ไม่รู้ว่าดูอย่างไร หรือว่าใช้ส่องหน้าเวลาขี่ฉายในตลาดของรถแม่บ้านทั้งหลาย กระจกนั้นมีไว้สำหรับมองด้านหลังทั้ง 2 ข้าง ในระยะเลยลำตัวผู้ขี่ออกไป จะสามารถเห็นรถที่ตามมาได้ แต่เหมือนกับรถยนต์ที่มุมอับสายตาคือช่วงด้านข้างคนขี่เช่นกัน บางทีแนะนำให้หันมองสักนิดก่อนจะเลี้ยวจะปลอดภัยที่สุด แต่ต้องบอกว่าหัวดูระยะหางตาไม่ใช่เหลี่ยวหลังมองนะครับ คนที่เหลี่ยวหลังมองดูกระจกไม่เป็นแน่นอน

4. ใช้สายตามองแทนใช้หูฟัง
บางคนยังติดใช้หูฟัง โดยภาพในมโนคติหลายๆคนมักคิดว่ารถมอไซค์ต้องมีเสียง แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีในการสร้างท่อไอเสียแบบเก็บเสียงดีขึ้น แทบจะไม่มีเสียงออกมาเลย และประจวบกับหมวกกันน็อคของดีราคาถูก ฉนั้นท่านแทบจะไม่สามารถได้ยินเสียงของคันที่ตามหลังมาได้เลย ฉนั้นจงเชื่อสายตาและใช้กระจกเป็นดีที่สุด

5. เปิดไฟสัญญาณทุกครั้ง
ข้อนี้พบบ่อยกับการขี่มอไซค์ โดยเฉพาะมอไซค์แม่บ้าน ที่บางคนแทบจะไม่เคยได้ใช้ไฟเลี้ยวเลย อุบัติเหตุจึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะความสำนึกในการใช้ถนนไม่มีนั่นเอง ต้องคิดเสียก่อนว่าถนนไม่ใช่ของเราคนเดียว เราใช้ร่วมกับผู้อื่น เมื่อเราตระหนักว่ามีผู้อื่นใช้ถนนเหมือนกับเรา เวลาเราจะทำอะไรก็ต้องส่งสัญญาณให้ผู้อื่นรับรู้ด้วย อุบัติเหตุจะได้ลดลง

6. พร้อมทั้งกายและใจ
"เคยไหมครับ ขี่มอไซค์ใจลอย" ผมก็เคย ลอยได้แต่อย่าลอยนาน บางทีขับรถนานๆก็มีใจลอยคิดไปไหนต่อไหนบ้าง แต่อย่าหลงคิดไปนานเพราะการอยู่บนท้องถนนต้องมีสมาธิอยู่เสมอ บางทีการขับขี่รถนานๆก็อดไม่ได้ที่จะคิดโน่นนี่ ยิ่งการออกทริปขับไปเรื่อยๆยิ่งเพลิน ซึ่งก็จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุตามมา สิ่งที่ช่วยได้คือเรื่องที่เรารู้กันดีอยู่แล้ว เช่น ใช้ความเร็วลดลง หรืออีกอย่างคือเตรียมสมรรถนะร่างกายให้พร้อม หลายๆคน หลายๆครั้ง ที่รอดมาได้เพราะร่างการพร้อม การตอบสนองไว สัญชาติญานดี ไม่ว่าคุณจะคิดอะไรหากร่างกายคุณพร้อม ไม่อดนอน ไม่มีโรคประจำตัว และมีชั่วโมงบินพอสมควร คุณก็มี % รอดจากเหตุการณ์นั้นๆสูงมาก